พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงศาสนา : กรณีศึกษาวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

Abstract

การวิจัย เรื่อง พฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงศาสนา : กรณีศึกษาวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเป็นการศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงศาสนา กรณีศึกษาวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยสาคัญที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ของนักท่องเที่ยวเชิงศาสนา ที่เข้ามาเที่ยวชมวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวชมวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี โดยกาหนดกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามปลายปิด นาข้อมูลมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เป็นค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่เข้ามาเที่ยวชมวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 52 มีอายุในช่วง 51 – 60 ปี ร้อยละ 40 การศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 45 ประกอบอาชีพเป็นเกษตรกร ร้อยละ 20 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 35 และมีภูมิลาเนาหรือที่พักอาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 50 ในด้านพฤติกรรมตัดสินใจท่องเที่ยวเชิงศาสนาของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มีวัตถุประสงค์ ในการเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงศาสนาที่วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี คือ ทาบุญ หรือไหว้พระ เดินทางโดยใช้รถยนต์ส่วนบุคคล เพิ่งเคยเดินทางมาเป็นครั้งแรก ช่วงวันเวลาที่ใช้ในการเดินทาง มาที่วัดป่าภูก้อน คือ วันเสาร์-วันอาทิตย์ มีการวางแผนล่วงหน้า ก่อนการเดินทางเป็นเวลาน้อยกว่า 1 สัปดาห์ โดยเดินทางมากับครอบครัว มีผู้ร่วมเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงศาสนา ที่วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี 2 – 5 คน มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว เชิงศาสนาโดยเฉลี่ยต่อคน ต่ากว่า 1,000 บาท ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัดป่าภูก้อน จากญาติ เพื่อน หรือคนรู้จัก มีแนวโน้มจะเดินทางกลับมายัง วัดป่าภูก้อนอีก นักท่องเที่ยวจะแนะนาให้เพื่อน คนรู้จัก หรือบุคคลอื่น เดินทางมาท่องเที่ยวที่ วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี และสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไขมากที่สุด ในเรื่อง การคมนาคมไปยังแหล่งท่องเที่ยว จากผลการศึกษาปัจจัยสาคัญที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงศาสนา ที่เข้ามาเที่ยวชมวัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี ในด้านแรงจูงใจทางกายภาพ พบว่า แรงจูงใจที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์เป็นแรงจูงใจ ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุด แรงจูงใจทางศาสนา พบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบเดินทาง เพื่อเคารพสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด แรงจูงใจระหว่างบุคคล พบว่า แรงจูงใจเพื่อค้นหาประสบการณ์ใหม่ให้กับตนเอง เป็นแรงจูงใจที่นักท่องเที่ยวต้องการมากที่สุด แรงจูงใจด้านสถานภาพ หรือชื่อเสียง พบว่า แรงจูงใจในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวมากที่สุด แรงจูงใจด้านความต้องการปลีกตัว พบว่า แรงจูงใจในด้าน เพื่อต้องการพักผ่อน เป็นแรงจูงใจในการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวมากที่สุด ข้อเสนอแนะ 1. การวิจัยในครั้งนี้ ได้เจาะจงสถานที่เก็บข้อมูล คือ วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ดังนั้น ในการวิจัยครั้งต่อไป ควรเก็บตัวอย่างในหลายๆ สถานที่ และมีการกระจายจานวนกลุ่มตัวอย่างให้ทั่วถึงมากกว่านี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการวิจัยมากที่สุด 2. ในการวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการศึกษาวิจัยในเชิงคุณภาพ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ลึกซึ้ง กว่าการวิจัยเชิงปริมาณที่ถูกจากัด และเพื่อจะได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ว่ามีพฤติกรรมอื่นๆ นอกจากที่วิจัยในครั้งนี้หรือไม่ เพื่อที่จะนาข้อมูลดังกล่าว มาพัฒนาในด้านต่างๆ ซึ่งจะทาให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น 3. ข้อเสนอแนะจากการวิจัย พบว่า นักท่องเที่ยวโดยส่วนใหญ่ใช้ยานพาหนะในการเดินทาง เป็นรถยนต์ส่วนบุคคล ต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไข เรื่อง การคมนาคมไปยังแหล่งท่องเที่ยว มากที่สุด ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการปรับปรุงเส้นทางคมนาคมที่เข้าสู่แหล่งท่องเที่ยว ให้ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ควรมีป้ายบอกสถานที่ และระยะทางของแหล่งท่องเที่ยวตลอด ตามเส้นทางการเดินทาง รวมทั้งจัดให้มีสถานที่จอดรถให้เพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยว